ธปท. รับภาระเงินต้น รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ย (และคนไทยรับภาระเงินเฟ้อ?)

กรุงเทพฯ--11 ก.ค.--เวเบอร์ แชนด์วิค บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ออกบทวิเคราะห์ถึงการออกพันธบัตรของรัฐบาลครั้งล่าสุด โดยตั้งประเด็นของปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะตามมาและกระตุ้นกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อช่วยคลายปัญหาหนี้ของรัฐบาลฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า“ในที่สุด ปัญหาเรื่องหนี้สินกองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นหนามยอกอกของรัฐบาลมา กว่า 5 ปี ก็ถูกบ่งออกเสียทีเมื่อรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ข้อสรุปว่าจะกอดคอกันรับภาระ โดยรัฐบาลรับเรื่องดอกเบี้ยส่วน ธปท.รับภาระจ่ายเงินต้น” รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลที่ออกมาเพื่อช่วยกองทุนฯ ไปแล้ว 5แสนล้านบาทก่อนหน้านี้ ดอกเบี้ยของพันธบัตรกองทุนฯ ที่รัฐค้ำประกันให้หรือดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกอีกจำนวนไม่เกิน 7.8 แสนล้านบาท รวม ๆ แล้วคาดว่าเป็นดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมดราว 1.04 ล้านล้านบาทส่วนเงินต้นนั้น แท้ที่จริงแล้ว ธปท. ก็มีหน้าที่รับภาระมาตั้งแต่ของพันธบัตร 5 แสนล้านบาท แต่ที่ผ่านมาฝ่าย การธนาคารของ ธปท.ยังมีปัญหาขาดทุนสะสมแสนกว่าล้านบาท การจะให้ธปท.จ่ายคืนเงินต้นในภาวะเช่นนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการรีดเลือดกับปู รัฐจึงจำเป็นต้องช่วยแก้ข้อติดขัดด้านข้อกฎหมายเพื่อให้ฝ่ายการธนาคาร ของ ธปท. ลืมตาอ้าปากได้โดยการออกพระราชกำหนดให้สามารถโยกกำไรส่วนเกินในบัญชีทุนสำรองเงินตรามาล้างขาดทุนสะสมในบัญชีของฝ่ายการธนาคารต่อไปฝ่ายนี้จะได้มีกำไรมาทยอยจ่ายคืนเงินต้นของพันธบัตร 5 แสนล้านบาท นอกจากนี้รัฐยังออกพระราชกำหนดอีกฉบับหนึ่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถนำดอกผลที่ได้จากบัญชีทุนสำรองเงินตราซึ่งแต่เดิมห้ามนำออกมาใช้นั้นออกมาใช้ทยอยจ่ายคืนเงินต้นของพันธบัตรที่จะออกอีก 7.8 แสนล้านบาท และพันธบัตรของกองทุนฯ ที่ออกมาแล้ว 1.12 แสนล้านบาท เมื่อคิดรวมในส่วนของธปท.จะพบว่าตัวเลขที่ต้องรับผิดชอบตกในราว 1.4 ล้านล้านบาท“สรุปแล้ว ทั้งต้นทั้งดอก เป็นเงินราว 2.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของ GDP ในขณะนี้ ซึ่งนับว่า ไม่น้อย ทั้งนี้ทางการคาดว่าต้องใช้เวลาราว 30 ปี จึงจะปลดแอกหนี้ก้อนนี้ได้” อย่างไรก็ดี ในกรณีของการนำเงินผลประโยชน์ที่เกิดจากบริหารทุนสำรองเงินตรามาใช้อาจเป็นที่มาของเงินเฟ้อในระยะยาว แม้ธปท. จะแถลงว่าการชำระคืนเงินต้นจากกำไรนำส่งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นไม่ถือเป็นการพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใช้หนี้ (Monetization) เนื่องจากเป็นการส่งกำไรให้รัฐบาลตามการดำเนินการโดยปกติของธนาคารกลางโดยทั่วไปแต่ประเด็นก็คือก่อนหน้านี้เงินส่วนนี้ไม่เคยต้องถูกนำมาใช้เมื่อจะใช้ก็ต้องแปลงเงินก้อนนี้เป็นเงินบาท แปลว่าฐานเงินจะเพิ่มขึ้นส่งผลต่อเงินเฟ้อได้ถ้า ธปท. คุมปริมาณเงินได้ไม่ดีพอ ซึ่งหมายถึงคนไทยทั้งหมดรับภาระเงินเฟ้อม.ล.ชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดให้ความเห็นว่า “มาถึงจุดนี้แม้จะต้องยอมรับความจริงว่าการนำประโยชน์จากทุนสำรองเงินตรามาใช้เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่พ้น เพราะความเสียหายของกองทุนฯ นั้นมากเหลือเกินแต่เราก็ไม่ควรมองข้ามบทบาทของรัฐวิสาหกิจทั้งหลายซึ่งมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงพอๆ กับมูลค่าของ GDP การลดสัดส่วนการถือหุ้นของทางการในรัฐวิสาหกิจ ที่มีแนวโน้มดีย่อมหมายถึงรายได้ที่รัฐจะนำมาใช้ช่วยปลดแอกหนี้อันเนื่องมาจากวิกฤตสถาบันการเงินได้เร็วขึ้น” ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ * คุณนฑาห์ สังขะวัฒนะ * บริษัท เวเบอร์ แชนด์วิค (ประเทศไทย) จำกัด * โทรศัพท์ 0 2257-0300 โทรสาร 0 2257-0312 e-mail: natha@webershandwick.com หรือ * คุณดารากร นิมมานเหมินท์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด โทรศัพท์ 0 2263-3500 โทรสาร 0 2263-3811 * คุณนุชจรินทร์ เกษมสุขวรรัตน์ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด โทรศัพท์ 0 2263 3500 ต่อ 830--จบ-- -ศน-

ข่าวหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์+ธนาคารแห่งประเทศไทยวันนี้

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ แต่งตั้ง เอเดรียน เมซซินาวเออร์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ (Adrian Mazenauer) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ มีผลทันที "บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด" (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง "ธนาคารไทยพาณิชย์" ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ "จูเลียส แบร์" (Julius Baer)