ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลของธนาคารไทยขนาดใหญ่เป็นมีเสถียรภาพ

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลของธนาคารเอกชนไทยขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) (SCB) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) เป็นมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ ส่วนธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) ยังคงมีแนวโน้มอันดับเครดิตสากลเป็นลบ รายละเอียดของอันดับเครดิตอื่นแสดงอยู่ด้านล่าง การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารทั้ง 4 แห่งในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 แม้ว่า GDP ของประเทศไทยจะติดลบ อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์ (ROA) รวมของธนาคารทั้ง 4 แห่ง ลดลงเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.26% ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 จาก 1.32% ในปี 2551 ซึ่งสูงกว่าระดับที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้เมื่อตอนต้นปี เนื่องจากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อได้ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ฟิทช์เชื่อว่าธนาคารเหล่านี้ยังคงมีความเสี่ยงในด้านการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่อาจเพิ่มขึ้นในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่จะตามมาภายหลัง รวมทั้งสินเชื่อปรับโครงสร้างที่มีโอกาสกลับมาเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้น แต่ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของธนาคารทั้ง 4 แห่ง น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกัน TMB ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีนัก เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอและการลดลงอย่างมากของสินเชื่อ ธนาคารมีกำไรสุทธิเพียงเล็กน้อยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 การลดลงของคุณภาพสินทรัพย์สำหรับธนาคารทั้ง 4 แห่ง อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายรวมของ 4 ธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.8% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 จาก 5.5% ณ สิ้นปี 2551 อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากยอดสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2551 ซึ่งอาจทำให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแอ และอาจส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงในปีหน้า เนื่องจากอาจจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง กว่าจะเห็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นที่มีต่อคุณภาพสินทรัพย์ TMB มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 14.9 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของ TMB ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 16% เนื่องจากสินเชื่อของ TMB ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องอีก 14.8% จากสิ้นปี 2551 นอกจากนั้น TMB ยังคงมีสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยที่ประมาณ 14% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้เกณฑ์การจัดชั้นที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารหลังจาก ING ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของธนาคาร สำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยความเสี่ยงในด้านธุรกรรมกับบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับดูไบโดยทั่วไปอยู่ในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ ผลจากการประเมินสถานะความแข็งแกร่งทางการเงินแสดงให้เห็นว่า BBL SCB KBANK และ BAY สามารถรองรับผลกระทบหากเกิดกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนตัวลงอย่างรุนแรง (High Stress Scenario) เนื่องจากธนาคารดังกล่าวมีอัตราส่วนกำไรที่แข็งแกร่ง ระดับสำรองหนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญที่อยู่ในระดับสูง และเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยลดผลกระทบจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นผลกระทบต่อเงินกองทุนจึงอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก แต่สำหรับ TMB หากเกิดกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนตัวลงอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้เงินกองทุนของธนาคารลดลงอย่างมาก เนื่องจากธนาคารมีอัตราส่วนกำไรที่อ่อนแอ และอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าธนาคารอื่น ในขณะที่ธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษอยู่ในระดับสูง ยอดสินเชื่อรวมของ BBL SCB KBANK และ BAY ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 ได้ลดลงมากกว่า 3% ฟิทช์คาดว่าสินเชื่อจะมีการเติบโตอีกครั้งในปี 2553 อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตดังกล่าวคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ อัตราส่วนกำไรดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เฉลี่ยลดลงเป็น 3.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 จาก 3.9% ในปี 2551 เนื่องจากอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยที่ต่ำลงและการลดลงของสินเชื่อ SCB KBANK และ BBL ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุด โดยกำไรสุทธิของทั้ง 3 ธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 ปรับตัวลดลงไม่มากนัก ในขณะที่อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับที่สูงที่สุด ในขณะเดียวกัน BAY ก็มีรายได้และอัตราส่วนกำไรที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อรายย่อย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นจากผู้ถือหุ้น GE Capital อย่างไรก็ตาม BAY ยังคงมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น เนื่องจากอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าธนาคารอื่น สภาพคล่องของธนาคารทั้ง 4 แห่ง ยังอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมอยู่ที่ประมาณ 92% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 นอกจากนี้ธนาคารทั้ง 4 แห่งนี้ ยังมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 12.2% และ 16.1% ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 ซึ่งน่าจะช่วยรองรับผลกระทบจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจอ่อนแอลง หากภาวะเศรษฐกิจยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่องใน 1 – 2 ปีข้างหน้า ธนาคารกรุงเทพ (BBL): - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว IDR คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ / ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F2’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘C’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับเครดิตที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ / แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB): - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว IDR คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ / ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F2’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘C’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับเครดิตที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ / แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK): - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว IDR คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ / ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F2’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘C’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับเครดิตที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ / แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY): - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว IDR คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB’ / ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F3’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘C’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับเครดิตที่ ‘3’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับเครดิตที่ ‘BB+’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ / แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’ ธนาคารทหารไทย: - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว IDR คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB-’ / แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F3’ - อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับเครดิตที่ ‘C/D’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘3’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘BB+’ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุน ชั้นที่ 1 (Tier 1 hybrid) คงอันดับเครดิตที่ ‘B’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ คงอันดับเครดิตที่ ‘BB+’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’ / แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับเครดิตที่ ‘A(tha)’ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดตามจากรายงานที่ได้เผยแพร่ไว้ก่อนหน้านี้ เรื่อง “Thai Banks: 9M09 Results and Outlook – Strong Buffer to Absorb Downside Risks in 2010” ที่ www.fitchratings.com ติดต่อ พชร ศรายุทธ; นฤมล ชาญชนะวิวัฒน์; Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4755 การเปิดเผยข้อมูล: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม กสิกรไทย จำกัด ซึ่งถือหุ้น 99.99% โดยธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นจำนวน 10% ของบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่มีผู้ถือหุ้นใดนอกเหนือจากบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัดแห่งประเทศอังกฤษที่มีส่วนในการดำเนินงานและการจัดอันดับเครดิตที่จัดโดยบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com การใช้อันดับเครดิตที่จัดทำโดยฟิทช์เรทติ้งส์มีข้อจำกัดและขอบเขตการใช้ ซึ่งข้อจำกัดและขอบเขตของการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวสามารถหาได้จาก HTTP://FITCHRATINGS.COM/UNDERSTANDINGCREDITRATINGS นอกจากนี้คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฎข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน ผู้ออกตราสารไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดอันดับเครดิต นอกเหนือจากการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะของบริษัทเท่านั้น

ข่าวธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด+ธนาคารเอกชนไทยขนาดใหญ่วันนี้

กรุงศรี ฉลอง 80 ปี ดูหนัง 80 บาท ที่ Major Cineplex เมื่อชำระด้วยบัตรกรุงศรี เดบิตและบัตร Krungsri Boarding Card

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ฉลองครบรอบ 80 ปี มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท และบัตร Krungsri Boarding Card ซื้อตั๋วหนังราคาพิเศษที่ Major Cineplex เพียง 80 บาท สำหรับที่นั่งปกติ (Normal Seat) ในโรงภาพยนตร์ระบบปกติ หรือดิจิตอล (2D) 1 ที่นั่ง (เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ) เพียงชำระเงินด้วยบัตรกรุงศรี เดบิต ทุกประเภท และบัตร Krungsri Boarding Card ผ่านเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (E-Ticket) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 31 ธันวาคม 2568 ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและ

สายเที่ยวห้ามพลาด! กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรี... รับส่วนลด 20% เมื่อจองเที่ยวบินทั่วโลก ผ่านบัตร Krungsri Boarding Card ที่ Trip.com — สายเที่ยวห้ามพลาด! กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิ...

เสริมศักยภาพการทำงานด้วย Microsoft 365 E3... คินดริล จับมือ กรุงศรี ร่วมทรานส์ฟอร์มการทำงานสู่ "Modern Workplace" — เสริมศักยภาพการทำงานด้วย Microsoft 365 E3 เพื่อส่งมอบประสบการณ์"ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน...