ลอนดอนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า

          ผู้นำจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่การประชุม Global Crisis of Depression จัดโดย The Economist Events

          วันนี้ (25 พ.ย.) ผู้นำระดับโลก ผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และนักวิชาการ เรียกร้องให้ประเทศต่างๆทั่วโลกดำเนินการมากขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน 350 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า[1] โดยผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดภายใต้หัวข้อ 'The Global Crisis of Depression: The Low of the 21st Century?' ซึ่งรวมถึงนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายนอร์แมน แลมบ์ สมาชิกรัฐสภา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการดูแลและสนับสนุนแห่งสหราชอาณาจักร และนายนิค แฮคเครัพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของเดนมาร์ก ได้เน้นย้ำว่า ระบบบริการสุขภาพ ภาคธุรกิจ และภาคสาธารณะต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับโรคซึมเศร้า

          นายโคฟี อันนัน กล่าวกับคณะผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมว่า “โรคซึมเศร้าส่งผลกระทบมากมายและมีหลายมิติ อันตรายก็คือโรคนี้ทำให้การตอบสนองอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องยากมากขึ้น เราจำเป็นต้องสร้างความร่วมมืออย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเพื่อเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ ผมไม่ได้ประเมินความท้าทายต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ผมมองเห็นถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมต่างๆที่ท้าทายที่สุด เรามีความรู้ในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า แต่ตอนนี้เราต้องการความมุ่งมั่นตั้งใจและทรัพยากร เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนนับร้อยนับล้าน”

          “ผมหวังว่าการประชุมในวันนี้จะช่วยให้ผู้คนมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบที่สำคัญจากโรคซึมเศร้า รวมถึงผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ เราได้สำรวจตรวจสอบว่ามาตรการใดที่รัฐบาลและภาคธุรกิจกำลังดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบจากโรคซึมเศร้า และค้นหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว” ศาสตราจารย์เดวิด ฮาสแลม ประธานสถาบัน National Institute for Health and Care Excellence กล่าว “อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเดินหน้าเพื่อให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโรคซึมเศร้าให้ได้มากที่สุด”

          ปัจจุบัน โรคซึมเศร้าถือเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียสมรรถภาพทั่วโลก[2] ในยุโรป โรคซึมเศร้าคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 7% ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร[3] และสร้างความเสียหายต่อรัฐบาลในยุโรปเป็นมูลค่ากว่า 9.2 หมื่นล้านยูโรต่อปี [4]

          มีการประมาณการว่า กว่าหนึ่งในสี่ของประชากรวัยทำงานทนทุกข์กับความเจ็บป่วยทางจิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งรวมถึงโรคซึมเศร้า[5] อันส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ ต้นทุนทางสังคมและค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลยังเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพของบุคคลและนายจ้าง การแบกรับภาระของผู้ดูแลคนป่วยในครอบครัว และภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเอง[4][6]

          “โรคซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย และผมมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการสนับสนุนที่จำเป็น เรากำลังมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ โดยอังกฤษเป็นผู้นำโลกในการยกระดับการเข้าถึงการรักษา เรามีแผนริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพจิต และผมขอท้าให้ทุกบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในดัชนี FTSE 100 ร่วมต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ ด้วยการลงนามในแคมเปญ Time to Change” นอร์แมน แลมบ์ สมาชิกรัฐสภา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการดูแลและสนับสนุนของสหราชอาณาจักร กล่าว “แต่ก็ยังมีงานที่รัฐบาลและฝ่ายอื่นๆต้องทำอีกมาก บริการด้านสุขภาพ นักวิจัย โรงเรียน และนายจ้างล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าทุกรายได้รับการสนับสนุนที่พวกเขาควรจะได้รับ”

          นายอลาสแตร์ แคมป์เบลล์ โฆษก นักเขียน และนักวางแผนกลยุทธ์ ในฐานะตัวแทนประชาสัมพันธ์โครงการ Time to Change ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวของเขาที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าว่า “ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักบุคคลที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่ถึงกระนั้นโรคนี้ก็ยังถือเป็นรอยด่างและเรื่องต้องห้าม และหลายคนยังลังเลที่จะยอมรับว่าโรคนี้เป็นความเจ็บป่วย โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในความเจ็บป่วยที่เลวร้ายที่สุด รัฐบาลประเทศต่างๆจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความเจ็บป่วยทางจิตมากเท่ากับความเจ็บป่วยทางกาย และเนื่องจากโรคซึมเศร้ามีผลกระทบต่อประชากรวัยทำงาน จึงถือเป็นผลประโยชน์ของรัฐบาลและธุรกิจที่จะร่วมมือกันในเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ The Economist ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก และหวังว่าองค์กรอื่นๆจะเจริญรอยตาม”

          “องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) พบว่าความผิดปกติทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศสมาชิก OECD มากถึง 4% ของจีดีพี อาจทำให้มีประชาชนตกงานเพิ่มขึ้นสองหรือสามเท่า ทำให้ต้องเลิกเรียนกลางคันเพิ่มขึ้น และขัดขวางการเยียวยารักษาปัญหาสุขภาพทางกาย ดังนั้น จึงต้องมีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้การรักษาและการแทรกแซงได้ผลอย่างเต็มที่” ฟรานเชสกา โคลอมโบ หัวหน้าแผนกสาธารณสุขของ OECD กล่าว “การที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมากยอมรับในโรคซึมเศร้านั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่การอภิปรายในวันนี้แสดงให้เห็นว่ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับความสำคัญของการจัดการและรักษาโรคซึมเศร้าในฐานะที่เป็นประเด็นร้ายแรงด้านสาธารณสุข และรับประกันว่าทุกฝ่ายจะปรับปรุงผลการดำเนินงานโดยรวมให้ดีขึ้นตามที่ได้ให้คำมั่นไว้”

          กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.depression.economist.com

          การประชุม The Global Crisis of Depression จัดโดย The Economist Events ภายใต้การสนับสนุนของ H. Lundbeck A/S

          ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ได้ที่ #depressionsummit และ @EconomistEvents

          เกี่ยวกับ The Economist Events

          The Economist Events เป็นผู้นำการจัดการประชุมในระดับนานาชาติสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกในประเด็นเชิงกลยุทธ์ การประชุมดังกล่าวประกอบไปด้วยการประชุมอุตสาหกรรม งานบริหารจัดการ และการประชุมโต๊ะกลมของรัฐบาลทั่วโลก The Economist Events เป็นส่วนหนึ่งของ The Economist Group และเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูง ด้วยประวัติศาสตร์ 162 ปีของแบรนด์ และชื่อเสียงที่ไม่มีใครเทียบได้ในเรื่องความเป็นเลิศและความเป็นอิสระ ทุกการประชุมที่จัดโดย The Economist Events จะมอบการวิเคราะห์อย่างรอบรู้ ตามวัตถุประสงค์ และอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง การประชุมของเรานำเสนอการอภิปรายในระดับที่สูงกว่าปกติ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงจะได้รับข้อมูลในเชิงลึก สามารถแลกเปลี่ยนมุมมอง และเปรียบเทียบกลยุทธ์ได้

          http://www.economistinsights.com/events

          อ้างอิง:

          1. European Pact for Mental Health and Well-being, 2008; J. Olesen, et al. Eur J Neurology. 2012; 19:155-162
          2. World Health Organisation. Depression Factsheet. Available at: http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs369/en/
          3. European Commission. Actions against depression. Improving mental and well-being by combating the adverse health, social and economic consequences of depression. 2004. Available at: http://ec.europa.eu/health/ph_determinants/life_style/mental/docs/depression_en.pdf 
          4. J. Olesen, et al. Eur J Neurology, 2012; 19: 155-162
          5. Mental Health Foundation. Mental Health Statistics. Available at: http://www.mentalhealth.org.uk/help-information/mental-health-statistics/ 
          6. Evans-Lacko S, Knapp M. Importance of Social and Cultural Factors for Attitudes, Disclosure and Time off Work for Depression: Findings from a Seven Country European Study on Depression in the Workplace. PLOS One.  DOI: 10.1371/journal.pone.0091053

          สื่อมวลชนติดต่อสอบถามได้ทางอีเมล:
          economistevents@edelman.com

          แหล่งข่าว: The Economist Events

 


ข่าวองค์การสหประชาชาติ+การประชุมสุดยอดวันนี้

"วีบียอนด์" คว้ารางวัล "Climate Action Leader Awards" จาก AFMA (UN FAO) ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่องค์กรสีเขียวอย่างยั่งยืน

ดร.วรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัล "Climate Action Leader Awards" ในงาน Climate Action Forum ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบโดย AFMA (UN FAO) เพื่อยกย่ององค์กรเอกชนชั้นนำที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนลำดับที่ 13 (SDG 13) ซึ่งจัดขึ้น ณ องค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจาก นายนราพัฒน์ แก้วทอง

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์วันน้ำโล... รณรงค์ 'วันน้ำโลก' กรมอนามัย ชวนประชาชน ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า หลีกเลี่ยงการเปิดน้ำทิ้ง — กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์วันน้ำโลก 22 มีนาคม 2568 ภายใต้แน...