“AECS” เฝ้าระวังปัจจัยลบต่างประเทศทำหุ้นไทยป่วน สบจังหวะสอยหุ้นเด่น TPCH-SSP-TTW-BAFS-KBANK-SAWAD-KBANK-KTB

          บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทยจับตาปัจจัยลบต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งสงครามการค้าสหรัฐ จีน ที่จะมีการหาเรือในช่วงปลายเดือนมิ.ย.อีกครั้ง - การประชุมกลุ่ม OPEC มีผลต่อราคาน้ำมัน – เศรษฐกิจโลก - ทิศทางดอกเบี้ย โดยให้กรอบดัชนี สงครามการค้า,6หลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี-สงครามการค้า,64หลักทรัพย์ เออีซี จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Defensive - Growth ชู TPCH - SSP – TTW - BAFS – KBANK – SAWAD – KBANK -KTB เด่น 
          บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยปัจจัยบวก ได้แก่ MSCI นำ NVDR เข้ามาคำนวณใน MSCI EM Index คาดจะส่งผลให้มี Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย และมีแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายทั้งจีนและสหรัฐฯ ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินยังคงดี ส่วนปัจจัยลบได้แก่ ปัญหาสงครามการค้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
          ส่วนปัจจัยต่างประเทศ สหรัฐฯประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมของบริษัทหัวเว่ยชั่วคราวมีผล 9หลักทรัพย์ เออีซี วันจนถึงวันที่ สงครามการค้า9 ส.ค. 6เศรษฐกิจโลก ดังนั้นจึงควรจับตาการเจรจาการค้ากันอีกครั้งในการประชุม Gเศรษฐกิจโลกหลักทรัพย์ เออีซี ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ เศรษฐกิจโลก8-เศรษฐกิจโลก9 มิ.ย. 6เศรษฐกิจโลก ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิง และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ในวันที่ สงครามการค้า8-สงครามการค้า9 มิ.ย. 6เศรษฐกิจโลก คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ เศรษฐกิจโลก.เศรษฐกิจโลก5-เศรษฐกิจโลก.5% บวกกับเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก Implied Prob ช่วงอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจโลก.เศรษฐกิจโลก5% หลังจากที่ทีการประกาศตัวเลข เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในสัปดาห์ก่อน 
          อย่างไรก็ดี การประชุม OPEC ในวันที่ เศรษฐกิจโลก5 มิ.ย. ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย คาดว่ากลุ่ม OPEC จะมีการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงจนถึงสิ้นปี เศรษฐกิจโลก56เศรษฐกิจโลก บวกกับสหรัฐฯ มีการคว่ำบาตรประเทศอิหร่านและเวเนซุเอลาซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ส่งผลต่อราคาน้ำมันได้ 
          ดังนั้น มองระยะสั้นดัชนีแกว่งในกรอบ สงครามการค้า,6หลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี-สงครามการค้า,64หลักทรัพย์ เออีซี จุด ดังนั้นจึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไร ในกลุ่มที่น่าลงทุนได้แก่ สงครามการค้า กลุ่ม Defensive,สงครามการค้า กลุ่ม Growth และ สงครามการค้า กลุ่มราคาถูก เช่น กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH (แม้ช่วง สงครามการค้าQ6เศรษฐกิจโลก กำไรโตเพียง 4.4%YoY เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น เศรษฐกิจโลกหลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 5หลักทรัพย์ เออีซี MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 6หลักทรัพย์ เออีซี MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา สงครามการค้าหลักทรัพย์ เออีซี MW) และ SSP (ช่วง สงครามการค้าQ6เศรษฐกิจโลก กำไรโต สงครามการค้า6.4%YoY จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายได้ของโครงการต่างๆ และการบริการรับเหมาก่อสร้างโซลาร์บนหลังคาโดยปี 6เศรษฐกิจโลก ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย สงครามการค้า6 MW และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น สงครามการค้า57.สงครามการค้าMW จากปี 6สงครามการค้า ที่ 9หลักทรัพย์ เออีซี.4MW) 
          นอกจากนี้มอง กลุ่มสาธารณูปโภค เป็น OASIS ยามเมื่อตลาดหุ้นไทยผันผวน เลือก TTW (กำไรสุทธิช่วง สงครามการค้าQ6เศรษฐกิจโลก โต สงครามการค้าหลักทรัพย์ เออีซี.4%YoY หลังรายได้ขายน้ำประปารวมของทั้ง TTW และ PTW เพิ่มขึ้น 4%YoY ตามความต้องการใช้น้ำประปาของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น บวกกับส่วนแบ่งกำไรจาก CKP (TTW ถือหุ้น เศรษฐกิจโลก5.3%) เพิ่มขึ้นจากเพียง 3.เศรษฐกิจโลก ลบ. ในช่วง สงครามการค้าQ/6สงครามการค้า เป็น 35.3 ลบ. สอดคล้องกับปริมาณขายไฟที่มากขึ้นของโรงไฟฟ้าน้ำงึม เศรษฐกิจโลก และ BAFS (กำไรสุทธิช่วง สงครามการค้าQ/6เศรษฐกิจโลก เติบโต 7.8%YoY จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%YoY ส่วนปี 6เศรษฐกิจโลกตั้งเป้ารายได้โต สงครามการค้าหลักทรัพย์ เออีซี%YoY และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4-5%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร ปี 6เศรษฐกิจโลก ราว เศรษฐกิจโลกหลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี ลบ. และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
          รวมทั้งยังแนะนำ กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ คาดมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอัตราการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการกู้ยืมเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังมีอยู่มากและได้รับผลบวกจากการที่ ธปท. เข้ามาควบคุมด้านกฏระเบียบอย่างเข้มงวดทำให้คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในกลุ่มของผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบมากขึ้นแนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี 6เศรษฐกิจโลก โต 3หลักทรัพย์ เออีซี.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต เศรษฐกิจโลกหลักทรัพย์ เออีซี-3หลักทรัพย์ เออีซี% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 3หลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี-4หลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร) และ MTC (คาดกำไรปี 6เศรษฐกิจโลก โต เศรษฐกิจโลกหลักทรัพย์ เออีซี.9%YoY หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่ตามเป้าณสิ้นปีที่ 3,9หลักทรัพย์ เออีซีหลักทรัพย์ เออีซี สาขา, ต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลงหลัง TRIS ปรับเพิ่ม Rating ของบริษัทขึ้นและภาระตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่น้อยลง)
          สุดท้าย กลุ่มธนาคาร มองหุ้นกลุ่มนี้ Cheap Valuation เนื่องจากราคาปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน BANK Sector เทรดที่ระดับ Trailing PBV สงครามการค้าx (ขณะที่ Downside ตอน Hamburger crisis ลงไปประมาณ หลักทรัพย์ เออีซี.7x-หลักทรัพย์ เออีซี.8x) ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg พบว่า Total Return ของ SETBANK Index ตั้งแต่ Hamburger crisis จนถึงปัจจุบันเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ระดับ 8.เศรษฐกิจโลก% ซึ่งหากเรา Implied ว่าเป็นระดับ Cost of Equtyในอนาคต จะพบว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่า Expected ROE (Bloomberg Consensus) ซึ่งปี 6เศรษฐกิจโลก คาดไว้ที่ 9.39% และปี 63 คาดไว้ที่ 9.58% ดังนั้น BANK Sector ควรจะเทรดมากกว่า BVPS ตาม GGM ทั้งนี้ TOP PICK เลือก KBANK (เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้เดือน เม.ย. ตามรายงาน ธ.พ.สงครามการค้าสงครามการค้า +3.3%YoY และ +หลักทรัพย์ เออีซี.3%MoM), BAY (เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้เดือน เม.ย.ตามรายงาน ธ.พ.สงครามการค้าสงครามการค้า +9.5%YoY และ +หลักทรัพย์ เออีซี.8%MoM) และ KTB (เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้เดือน เม.ย.ตามรายงาน ธ.พ.สงครามการค้าสงครามการค้า +5.4%YoY และ +หลักทรัพย์ เออีซี.5%MoM)