ยูโอบีตอกย้ำความร่วมมือกับวีเอ็มแวร์เสริมความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานแบบรีโมทเวิร์คกิ้งให้กับทีม IT Developer ในการทำงานวิถีใหม่

จากการระบาดของไวรัสโควิด -ดำเนินธุรกิจ9 ส่งผลให้พนักงานส่วนใหญ่เปลี่ยนไปทำงานจากที่บ้าน เช่นเดียวกับธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ยูโอบี) ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำในเอเชียได้ร่วมมือกับวีเอ็มแวร์ภายใต้ความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนธนาคารให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก

ยูโอบีตอกย้ำความร่วมมือกับวีเอ็มแวร์เสริมความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานแบบรีโมทเวิร์คกิ้งให้กับทีม IT Developer ในการทำงานวิถีใหม่

ธนาคารยูโอบีเป็นหนึ่งในองค์กรในภูมิภาคอาเซียนที่ติดตั้งเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยให้กับเวอร์ชวลเดสก์ท็อป (UOB DevTop) ให้กับทีม IT Developer 3,000 คน โดยดำเนินการเสร็จในเวลาเพียง 21 วัน จากปกติที่ต้องใช้เวลาถึงสามเดือน โดย UOB DevTop ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งของธนาคาร และเพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด UOB DevTop ให้บริการ Sandbox ที่ปลอดภัยแก่ IT Developer เพื่อทดสอบและดำเนินการอัปเกรดบริการและโซลูชันดิจิทัลของ UOB สิ่งนี้ทำให้ IT Developer สามารถปฏิบัติงานตามตารางการพัฒนาซอฟต์แวร์ของธนาคารที่วางไว้ได้โดยไม่หยุดชะงักแม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปทำงานจากที่บ้าน

ธนาคารยูโอบีได้พัฒนา UOB DevTop ซึ่งเป็นการผสานรวมโซลูชันเวอร์ชวลเดสก์ท็อปของวีเอ็มแวร์ หรือ VMware Horizon เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและไฮบริดคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูงของยูโอบี โดยโครงสร้างรูปแบบนี้ทำให้สามารถเร่งกระบวนการ deploy ของ UOB DevTop ได้ เนื่องจากธนาคารไม่จำเป็นต้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้ยังสามารถประมวลผลเพื่อตอบสนองความต้องการทำงานที่เพิ่มขึ้นพร้อมรองรับ IT Developer 3,000 คนที่ทำงานแบบรีโมทเวิร์คกิ้งอีกด้วย

ด้วยความปลอดภัยที่สูงขึ้นและการทำงานแบบรีโมทที่ทำให้เข้าถึงสภาพแวดล้อมในการพัฒนาของธนาคาร จึงทำให้ทีม IT Developer สามารถทำงานได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์หลาย ๆ โครงการภายในปีเดียว ภายในสามเดือนที่ผ่านมายูโอบีสามารถเปิดตัวโซลูชันนวัตกรรมชั้นนำของอุตสาหกรรมสามรายการที่เปิดใช้งานทั่วภูมิภาค ได้แก่

  • ในเดือนสิงหาคมธนาคารยูโอบีเปิดตัวธนาคารดิจิทัลแห่งอาเซียน หรือ TMRW ในประเทศอินโดนีเซีย
  • ในเดือนกันยายนธนาคารได้เปิดตัวแอปโมบายแบงค์กิ้งชื่อ UOB Mighty ในประเทศมาเลเซียซึ่งมีอินเทอร์เฟซและฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยให้ลูกค้าใช้จ่ายและประหยัดได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น
  • นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวโมบายแอป UOB Infinity ที่สร้างประสบการณ์ด้านธุรกรรมผ่านมือถือแก่ลูกค้าองค์กรทั่วภูมิภาคที่ง่ายขึ้น มีหน้าแดชบอร์ดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการใช้งาน ฟีเจอร์สำหรับบริหารจัดการกิจกรรมทางการเงิน บริการด้านการเทรด

ซูซาน ฮวี หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและปฏิบัติการกลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า "เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ของเราในกลุ่มธนาคารยูโอบีเปลี่ยนไปทำงานจากที่บ้านในช่วงที่มีการระบาดใหญ่เราจึงเล็งเห็นความสำคัญในการเตรียมเครื่องมือและทรัพยากรที่เหมาะสมให้กับพวกเขาเพื่อรองรับการทำงานของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและรับมือการเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นในขณะที่เราให้บริการลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก การใช้เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของเราควบคู่ไปกับโซลูชันของวีเอ็มแวร์ เราได้พัฒนาและปรับใช้โซลูชันเวอร์ชวลเดสก์ท็อปที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และพร้อมสำหรับการขยายขอบเขตการทำงานในอนาคต ทำให้ทีม IT Developer 3,000 คนของเราสามารถทำงาน สร้างความต่อเนื่องให้กับการทำธุรกิจและขับเคลื่อนนวัตกรรมของธนาคารต่อไปได้อย่างความปลอดภัย"

ซานเจย์ เค. เดชมุค กรรมการผู้จัดการและรองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลีของวีเอ็มแวร์ กล่าวว่า "จากสถานการณ์ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า เทคโนโลยีดิจิทัล ได้กลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ สำหรับองค์กร ดิจิทัลช่วยให้องค์กรสามารถรดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ดึงดูดพนักงานใหม่ และเชื่อมต่อกับลูกค้าทุกคน เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นพาร์ทเนอร์กับธนาคารยูโอบี ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่สนับสนุนความต้องการในการดำเนินธุรกิจของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวดของธนาคาร นอกจากนี้ด้วยโซลูชันดิจิทัลเวิร์คสเปซชั้นนำและไฮบริดคลาวด์ของวีเอ็มแวร์ เรามั่นใจว่ายูโอบีจะยังคงก้าวไปข้างหน้าในฐานะธนาคารชั้นนำในภูมิภาคนี้ที่มีความพร้อมให้บริการฐานลูกค้าทุกคนที่กระจายอยู่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น"


ข่าวรักษาความปลอดภัย+ธนาคารยูไนเต็ดวันนี้

รายงานการสนองตอบต่อเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ระดับโลกจาก Unit 42 ปี 2568 เผยว่าเหตุการณ์ภัยไซเบอร์เกือบ 44% เกี่ยวข้องกับเว็บเบราว์เซอร์

พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ผู้นำระดับโลกด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเผยรายงานการสนองตอบต่อเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ระดับโลกจาก Unit 42 ประจำปี 2568 ที่พบว่าปัจจุบันคนร้ายได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ เปลี่ยนจากการใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่และการขโมยข้อมูลแบบเดิม ไปสู่การมุ่งขัดขวางการดำเนินธุรกิจ มีการใช้ AI ช่วยในการโจมตี และอาศัยบุคคลภายในสร้างภัยคุกคาม รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ความปลอดภัย (44%) มีความเกี่ยวข้องกับเว็บเบราว์เซอร์ เมื่อไม่นานมานี้

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เพิ่มมาตรการในด้า... สายสีแดง เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ — รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เพิ่มมาตรการในด้านการรักษาความปลอดภัยอย...

บมจ. เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) ไ... เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) คว้ารางวัล National Distributor Award จาก Hikvision — บมจ. เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติรับรางวัล Na...

นายประคุณ เลาหกิตติกุล ผู้อำนวยการประจำปร... HPE Aruba Networking เปิดเทรนด์ระบบเครือข่าย (Networking) ที่น่าจับตามองในปี 2025 — นายประคุณ เลาหกิตติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย จาก HPE Aruba Network...