"ต้อหิน" เป็นสาเหตุอันดับสองที่ทำให้ประชากรทั่วโลกตาบอด และเป็นโรคที่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ จากสถิติพบว่าเมื่อ 1ผู้สูงอายุ ปีก่อน ทั่วโลกพบผู้ป่วยโรคต้อหินประมาณ 6ผู้สูงอายุ ล้านคน แต่ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มขึ้นเป็น 8ผู้สูงอายุ ล้านคน สาเหตุเป็นเพราะมีผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าอีก 1ผู้สูงอายุ ปีข้างหน้าจะพบผู้ป่วยต้อหินเกือบ 1ผู้สูงอายุผู้สูงอายุ ล้านคน
จากงานวิจัยพบว่า อุบัติการณ์การเกิดโรคต้อหินในคนเอเชีย ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป พบประมาณ 2.5% อายุ 50 ปีขึ้นไป พบผู้ป่วยต้อหิน 3.5% สอดคล้องกับงานวิจัยในประเทศไทย ที่พบว่าผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป พบผู้ป่วยต้อหิน 3.2% ผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปพบผู้ป่วยต้อหินประมาณ 6% อายุ 70 ปีขึ้นไปพบผู้ป่วยต้อหิน 7% อายุมากกว่านั้นพบผู้ป่วยต้อหินประมาณ 8-10% งานวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมากขึ้น และขณะนี้เราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยทั่วโลก จำนวนผู้ป่วยต้อหินจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ดี โรคต้อหินสามารถพบได้ในทุกวัย ตั้งแต่แรกคลอด ในเด็ก วัยทำงาน แต่พบไม่มาก โดยจะพบเพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นตามลำดับ ดังกล่าวแล้ว
"โรคต้อหิน ทำให้หลายล้านคนทั่วโลกตาบอด ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้สูงวัยที่อายุ 50 ปีขึ้นไป มาตรวจตาคัดกรองปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบตั้งแต่เริ่มต้น สามารรักษา ป้องกันตาบอดได้ และในช่วงสัปดาห์ต้อหินโลกในเดือนมีนาคมของทุกปี จะมีการรณรงค์ให้ความรู้ และตรวจคัดกรองผู้ป่วยต้อหิน ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วโลก ปีนี้ คือ ระหว่างวันที่ 7-13 มีนาคม 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 จึงไม่ได้มีการจัดงานที่รวมคนจำนวนมากมาตรวจคัดกรอง โรงพยาบาลศิริราชได้จัดทำบอร์ด ให้ความรู้เรื่องโรคต้อหิน ที่ตึกผู้ป่วยนอกชั้น 5 เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของโรคต้อหิน ที่รักษาได้ ป้องกันตาบอดได้ แต่ถ้าเป็นแล้วไม่รักษาอย่างถูกต้องจะทำให้คนไข้ตาบอดอย่างถาวรได้ในอนาคต" ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงงามแข เรืองวรเวทย์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และอดีตประธานชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย กล่าวสรุป
ต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการทำลายของขั้วประสาทตา ทำให้สูญเสียลานสายตา และสูญเสียการมองเห็นในที่สุด โดยการสูญเสียนี้เป็นการสูญเสียที่ถาวร
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่สำคัญ ได้แก่ ประวัติในครอบครัว ใครที่มี พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายเป็นต้อหิน ก็จะมีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่าคนปกติทั่วไป เนื่องจากต้อหินเป็นโรคทางพันธุกรรม ความดันลูกตาสูงเกินปกติ ความดันตาในคนปกติจะอยู่ที่ 10-20 มิลลิเมตรปรอท หากสูงเกิน 21 ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นต้อหินได้ สายตาสั้นหรือยาวมากเกินไป หากสายตาสั้นเกิน 600 ขึ้นไปเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมุมเปิด หากสายตายาวมากเกิน 300 ขึ้นไป จะเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมุมปิด โรคระบบการไหลเวียน และหลอดเลือด เช่น โรคไขมันสูง ความดันสูง และโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดผิดปกติ เลือดไปเลี้ยงจอประสาทตาลดลง จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหิน
อาการของโรคต้อหิน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือต้อหินชนิดเฉียบพลัน มักพบในคนต้อหินมุมปิด คนไข้จะมีอาการรุนแรง ปวดตาทันที ตาแดง และตามัวลงอย่างรวดเร็ว อีกชนิดหนึ่งคือต้อหินเรื้อรัง จะไม่มีอาการอะไรเลยในระยะแรก อาการลานสาตาที่แคบลงจะเป็นไปอย่างช้าๆ คล้ายเป็นระเบิดเวลา ถ้ารอให้มีอาการมาก จนลานสายตาแคบลงมาก แสดงว่ามีการสูญเสียลานสายตามากกว่า 50% ขึ้นไป การรักษาโรคต้อหินมี 3 วิธี คือ ใช้ยาหยอดตา ใช้เลเซอร์ และการผ่าตัด ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะเริ่มจากการใช้ยาและใช้เลเซอร์ก่อน ถ้าไม่ได้ผล ควบคุมโรคไม่ได้จึงจะทำการผ่าตัด ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้มักได้ผลดีและช่วยป้องกันคนไข้ต้อหินไม่ให้ตาบอดได้ในอนาคต
ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองโรคต้อหินปีละครั้ง หากเป็นผู้ที่มีความปัจจัยเสี่ยงข้างต้นมากกว่า 1 ข้อ อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองโรคต้อหินปีละครั้ง และเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคต้อหิน ให้รีบรักษา ถ้าแพทย์ให้การรักษาโดยการหยอดตา ควรหยอดตาให้ถูกต้อง สม่ำเสมอ และมาตรวจตามที่แพทย์นัดหมาย เพราะโรคต้อหินเรื้อรังไม่แสดงอาการในระยะแรก คนไข้อาจรู้สึกว่าหยอดยาหรือไม่หยอดยาก็ไม่มีอาการ แต่จริง ๆแล้วขั้วประสาทตาจะถูกทำลายไปอย่างช้าๆ หากไม่รักษาอย่างต่อเนื่อง อาจสูญเสียการมองเห็น และเป็นการสูญเสียที่ถาวร ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติดังเดิมได้
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำบุญรับปีใหม่ "สงกรานต์สุขใจให้เลือด" โดยร่วมบริจาคเลือดในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ ประจำปี 2568 พร้อมรับของที่ระลึก ระหว่างวันที่ 9 16 เมษายน 2568 เวลา 08.30 16.00 น. ณ ศูนย์รับบริจาคเลือดศิริราช อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ชั้น 3 (กรุณาพกบัตรประชาชนไปด้วย) ผู้ที่ต้องการบริจาคเลือด ต้องมีน้ำหนักตั้งแต่ 48 กิโลกรัมขึ้นไป พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อง 6 ชั่วโมง ไม่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคลมชัด โรคหัวใจ เป็นต้น ห้องรับบริจาคเลือดเปิดบริการทุกวัน
ศิริราชมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2566 และ 2567 ให้แก่ นพ.มนตรี หนองคาย และ นพ.วรวุฒิ พัฒนโภครัตนา
—
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จัดงานประก...
ศิริราชกับความสำเร็จระดับโลก ครั้งแรกในการผลิตกระดูกเบ้าสะโพกไทเทเนียมเฉพาะบุคคล
—
ศิริราชกับความสำเร็จระดับโลกครั้งแรกในการผลิตกระดูกเบ้าสะโพกไทเทเนียมเฉ...
กรุงไทยโชว์นวัตกรรม "กระเป๋าสุขภาพ" บนแอปฯเป๋าตัง ในงานประชุมวิชาการ การป้องกันการหกล้มและกระดูกหักในผู้สูงอายุไทย
—
นางวรานิช อุชชิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัด...
ศิริราชร่วมเฉลิมฉลอง 120 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-นอร์เวย์ จัดเดิน-วิ่งการกุศล สมทบทุนศิริราชมูลนิธิ
—
ศ. นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริ...
จับตาไทย! ลุยพัฒนา ATMPs-สเต็มเซลล์ พลิกโฉมการแพทย์ เพิ่มโอกาสรักษาโรคร้ายแรง
—
ไม่ใช่แค่ฝัน! สาธารณสุขจับมือสถาบันแพทย์ชั้นนำ เร่งเครื่องพัฒนา ATMPs-สเต็...
เอ็มเทค สวทช. จับมือศิริราช ทดสอบทางคลินิก OSSICURE Bone Graft นวัตกรรมทดแทนกระดูกสำหรับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง
—
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเ...