บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผล 4 กองทุน หุ้นอินเดีย-โกลบอลเฮลธ์แคร์-สมาร์ทแพลน 3-หุ้นระยะยาว เซ็ท อินเด็กซ์

นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลจำนวน 4 กองทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ประกอบด้วย

บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผล 4 กองทุน  หุ้นอินเดีย-โกลบอลเฮลธ์แคร์-สมาร์ทแพลน 3-หุ้นระยะยาว เซ็ท อินเด็กซ์

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย (SCBINDIA) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มี.ค. 2564 - 31 ส.ค. 2564 กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.2591 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 10 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 1.3183 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2558) มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ iShares India 50 ETF ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนซึ่งซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ กองทุนหลักบริหารโดย BlackRock และมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อินเดีย (CNXNIFTY) เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี CNXNIFTY กองทุนนี้จัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund India Equity ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564)

ส่วนอีก 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ก.ย. 2563 - 31 ส.ค. 2564 ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอลเฮลธ์แคร์ (SCBGHC) กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.4486 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 จำนวน 0.2006 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายงวดนี้ 0.2480 บาทต่อหน่วย ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 7 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 1.1918 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2558) กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Janus Global Life Sciences Fund ชนิดหน่วยลงทุน I Share Class (Institutional Share Class) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในการดำเนินชีวิต (Life Sciences) หรือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือยกระดับคุณภาพชีวิต ได้แก่ บริษัทด้านการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตัวเอง การแพทย์หรือเภสัชกรรม รวมไปถึงบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตหลักมาจากผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี การจดสิทธิบัตร หรือตลาดอื่นใดที่ได้รับประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต เป็นต้น โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 22 ก.ย. 2564 นี้

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 3 (SCBSMART3) จ่ายปันผลในอัตรา 0.3265 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 8 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 2.0503 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2555) โดยกำหนดจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 20 ก.ย. 2564 นี้ กองทุนมีการจัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยง (Value-at-Risk หรือ VaR) ให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -10% ต่อปี มีนโยบายลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยกองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 34% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนนี้จัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund Moderate Allocation ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เซ็ท อินเด็กซ์ (SCBLTSETD-2020) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย กำหนดจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 17 ก.ย. 2564 โดยกองทุนเน้นสร้างผลตอบแทนใกลัเคียงกับดัชนี SET Index

นายอาชวิณ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นอินเดียว่า ตั้งแต่ช่วงมี.ค. 2564 จนถึงปัจจุบันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดจะเจอแรงกดดันอยู่บ้างในช่วงเดือนเม.ย. - พ.ค. 2564 จากยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ระลอกใหม่ภายในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลต้องประกาศมาตรการล็อคดาว์นกรุงนิวเดลี และเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง ซึ่งหลังจากที่สถานการณ์การระบาดในประเทศดีขึ้น ส่งผลให้ตลาดได้มีการปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 20% ประกอบกับภาครัฐได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับในระยะถัดไปคาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดการณ์เศรษฐกิจอินเดีย (GDP) จะเติบโตสูงต่อเนื่องที่เฉลี่ย 8% ต่อปี ประกอบกับจำนวนประชากรที่สูงถึง 1.4 พันล้านคน และโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยวัยแรงงานจำนวนมาก จะเป็นตัวสนับสนุนกำลังการผลิตและการบริโภค นอกจากนี้การเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศมูลค่า 100 ล้านล้านรูปี (1.35 ล้านล้านดอลลาร์) จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและสนับสนุนการจ้างงานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ได้แก่ อัตราการฉีดวัคซีนที่อาจล่าช้ากว่าคาด รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่สูงซึ่งอาจกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจกดดันกระแสเงินทุน

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มนี้นับว่าเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลังจากเผชิญความผันผวนอย่างหนักภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการคงดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการคลังของประเทศหลักทั่วโลกก็ยังคงเอื้อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญความผันผวนได้ในระยะสั้นจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักของโลกนำโดยสหรัฐฯ ที่อาจจะมีการลดการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปี 2564 แต่ในระยะยาวนั้น กลุ่มเฮลธ์แคร์ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร นวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ และมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้นและความเจริญที่ขยายตัวทั่วโลก ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมได้

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6 หรือผู้สนับสนุนการขายทุกราย สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน SCBAM Fund Click ได้ที่ https://scbam.info/3dEjSFD


ข่าวบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน+หลักทรัพย์จัดการกองทุนวันนี้

บลจ.กสิกรไทย คว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยม Best of the Best Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกองทุนของไทย

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติถึง 5 รางวัล จากงาน Best of the Best Awards 2025 ได้แก่ รางวัล Best Asset Management Company (30 Years), Best Asset Management Firm for Digital Marketing, Best Alternatives Manager, Best ESG Manager และ Best Multi-Asset Manager ทั้งนี้ รางวัลที่ บลจ.กสิกรไทย ได้รับทั้ง 5 สาขา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บลจ.กสิกรไทย ในการพัฒนาและนำเสนอบริการด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ รวมถึงการปรับตัว

บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุนใหม่ KF-EMXCN ฝ่... กรุงศรีเปิดตัวกองทุน KF-EMXCN โอกาสเติบโตไปพร้อมกับ Emerging Market — บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุนใหม่ KF-EMXCN ฝ่าความผันผวนจากสงครามการค้า ด้วยโอกาสลงทุนใน...

บลจ.ทิสโก้เปิดกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรร... บลจ.ทิสโก้เปิดกอง TGOV7M10 กองทุนรวมตราสารหนี้ อายุ 7 เดือน — บลจ.ทิสโก้เปิดกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรรัฐบาล 7 เดือน 10 (TGOV7M10) เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบ...

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท การบินไ... บลจ.กสิกรไทย ตอกย้ำ Trusted Asset Manager การบินไทย ไว้วางใจให้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ — กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่ง...

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด(บ... พิธีลงนามสัญญาแต่งตั้งบริษัทจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) — บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด(บลจ.วรรณ) ได้รับความ...

บลจ.กสิกรไทย สร้างทางเลือกการลงทุนเพื่อวั... บลจ.กสิกรไทย ชวนผู้ลงทุนเปิดรับโอกาสเกษียณมั่งคั่ง ส่ง K-WORLDXRMF ลุยทำกำไรตามดัชนีหุ้นโลก — บลจ.กสิกรไทย สร้างทางเลือกการลงทุนเพื่อวัยเกษียณ เปิดตัวกองท...

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี รับร... KFDNMRMF คว้ารางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจาก Morningstar Awards 2025 — บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจาก Morningstar Awards for In...